รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงนโยบายเร่งด่วน ประกาศลดราคาสินค้าพร้อมกันทั้งประเทศ ภายใน 15 วัน
วันที่ 14 ก.ย. 66 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยนโยบายและทิศทางการทำงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ ภายหลังร่วมประชุมหารือกับผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์ทั่วโลก ว่า ได้มอบนโยบายใน 7 ด้าน เพื่อให้เกิดการปฏิบัติร่วมกัน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของเป้าหมายการทำงาน
โดยเฉพาะการดูแลและลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะคณะรัฐมนตรี ได้มีการลดภาระต้นทุน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ลงมาแล้ว ซึ่งมีผลให้ต้นทุนสินค้าลดลงด้วย ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ไปวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนสินค้าทั้งระบบ พร้อมพูดคุยกับผู้ประกอบการ เพื่อให้ได้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมชัดเจนภายใน 15 วัน และสามารถลดราคาสินค้าได้ทันภายในต้นเดือนตุลาคม นี้
สำหรับเงินดิจิทัล วอลเล็ต ที่รัฐบาลมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ได้มอบหมายให้หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ นำไปศึกษาว่าจะรองรับกับนโยบายได้อย่างไร หลังมีข้อกังวลว่าการใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร อาจจะไม่เข้าถึงในบางพื้นที่ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สามารถเชื่อมโยงได้ผ่านช่องทางการตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริม เช่น ร้านค้าธงฟ้า ร้านอาหารธงฟ้า ตลาดต้องชม Farm Outlet หมู่บ้านทำมาค้าขาย เพื่อให้การใช้งานของประชาชนสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าของประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น จัดรถพุ่มพวงเข้าไปจำหน่ายสินค้า เป็นต้น
โดยแนวนโยบาย 7 ด้าน ประกอบด้วย
1. นโยบาย “ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” เน้นการรดน้ำที่รากดูแลคนตัวเล็ก
1.1 ลดค่าใช้จ่าย
- - ประชาชน : ดูแลภาระค่าครองชีพโดยเพิ่มทางเลือกในการบริโภคและกระจายสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาเป็นธรรมเน้นให้บริโภคสินค้า/ร้านค้าที่อยู่ในชุมชน (เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง)
- - เกษตรกร และ ผู้ประกอบการ : ดูแลต้นทุนการเพาะปลูกของเกษตรกร (เช่น ค่าปุ๋ย ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเครื่องจักร) และต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการโดยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงเกษตรฯ (ด้านวัตถุดิบด้านการผลิต) กระทรวงอุตสาหกรรม (ด้านมาตรฐานสินค้า) และหน่วยงานอื่นๆ
1.2 เพิ่มรายได้
- - ประชาชน : เพิ่มความรู้ด้านการค้าขายให้แก่ประชาชนโดยเชื่อมโยงกับนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ทักษะเพื่อให้เกิดอาชีพและมีรายได้สร้างความเข้มแข็งให้ฐานราก
- - เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย : พัฒนาและขยายช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสมทั้งออนไลน์และออฟไลน์รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมและสร้างพลังให้ผู้ประกอบการรายย่อย (คนตัวเล็ก)
1.3 ขยายโอกาส : ปรับปรุง/พัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนในประเทศ
- - เพิ่มช่องทางการค้าใหม่ๆโดยเฉพาะช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สร้างโอกาสการเข้าถึงตลาดผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของกระทรวงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เช่น จัดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้จัดแสดงสินค้า
- ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส เพื่อให้เกิดผลต่อการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน โดยมีรายได้สุทธิ (Net Income) ที่สูงขึ้น
2. บริหารให้เกิดความสมดุล ระหว่างประชาชนผู้บริโภค เกษตรกรผู้ผลิต และผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ให้ทุกฝ่ายสามารถดำรงชีวิต ดำเนินธุรกิจ ไปได้ สร้างผลประโยชน์ที่ได้รับด้วยกันทุกฝ่าย อาทิเช่น
- เกษตรกร : - บริหารจัดการสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ (ล้นตลาดและขาดตลาด) โดยสร้างหลักประกันว่าผลผลิตต้องขายได้ในราคาที่เหมาะสมมีการจัดช่องทางการจำหน่ายและกระจายผลผลิตที่มีประสิทธิภาพรองรับ
- - ช่วยแก้ไขปัญหาเชิงรุกโดยส่งเสริมและให้ความรู้/นวัตกรรมในการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและทำให้เกษตรกรมีรายได้เช่นเกษตรอินทรีย์รวมทั้งกำกับดูแลต้นทุน และปัจจัยการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง
- ประชาชน : จัดหาสินค้าที่มีคุณภาพดีราคาเป็นธรรมและสร้างการเข้าถึงให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มเพิ่มร้านค้า/แหล่งจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดให้ครอบคลุมถึงระดับชุมชนรวมทั้งกำกับดูแลและแจ้งเตือน (Early Warning) อย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดปัญหาราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง
- ผู้ประกอบการ : ส่งเสริมพัฒนาทักษะความรู้และขีดความสามารถด้านการตลาดที่จำเป็นเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมีความคิดสร้างสรรค์รวมทั้งสร้างโอกาสและช่องทางการตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น เจรจาการค้ากับคู่ค้าในต่างประเทศเพิ่มกิจกรรมการบุกตลาดในต่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้านทั้งในรูปon-site และonline
3. การทำงานเชิงรุกและบูรณาการการทำงานร่วมกัน ของ พาณิชย์จังหวัด และ ทูตพาณิชย์
- - วางแผนยุทธศาสตร์หรือแผนบริหารจัดการสินค้าอย่างครบวงจรร่วมกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อ “รักษาตลาดเดิม เสริมตลาดใหม่”
- - เพิ่มบทบาท“พาณิชย์คู่คิด SME” ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กให้สามารถส่งออกได้ อาทิ การให้คำปรึกษา ในด้านกฎระเบียบการนำเข้าของตลาดต่างประเทศเชิงลึก เช่น การจัดตั้งบริษัท การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในตลาดเป้าหมายและสร้างเครือข่ายพันธมิตร การจัดทำคู่มือภาษาไทยที่เข้าใจง่าย
- - พัฒนาPlatformที่มีข้อมูลทั้งในด้านสินค้าศักยภาพของไทยและความต้องการสินค้าจากต่างประเทศที่ครบวงจรและเป็นปัจจุบันตลอดเวลาสามารถโต้ตอบระหว่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว
4. แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมาย
- - แก้ไข/ปรับปรุงกฎหมายเก่าที่ล้าสมัยเป็นอุปสรรคทางการค้าเพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ
- - สร้าง/บัญญัติกฎหมายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก เช่น ด้านการผลิตการค้าในรูปแบบใหม่ๆโดยเฉพาะกฎหมายเพื่อให้เท่าทันกับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี AI
5. ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Digital wallet ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- - การเชื่อมโยงฐานข้อมูลช่องทางการตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริม เช่น ร้านค้าธงฟ้า ร้านอาหารธงฟ้า ตลาดต้องชม Farm Outlet หมู่บ้านทำมาค้าขาย เพื่อให้การใช้งาน Digital wallet ของประชาชนในพื้นที่ไม่เกิน 4 กม. สะดวกมากยิ่งขึ้น
- - อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าของประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่มีเงื่อนไขข้อจำกัดในการใช้ Digital wallet เช่น การจัดรถพุ่มพวงเข้าไปจำหน่ายสินค้า
6. เร่งขยับตัวเลขการส่งออก เปลี่ยนจากติดลบให้เป็นบวก
- - สร้างกระแส/ใช้ประโยชน์จาก Soft power ของไทย และสร้าง Story ให้กับให้สินค้าและบริการไทยเชื่อมโยงกับภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร วัฒนธรรม ภาพยนตร์ แอนิเมชั่นและการท่องเที่ยว
- -จัดทำข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และวิเคราะห์ความต้องการของตลาดทั่วโลกข้อมูลเชิงลึกพฤติกรรมผู้บริโภควิถีชีวิต pain pointในแต่ละกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และจัดทำกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด
- -แก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การค้าชายแดน และ การค้าข้ามแดน มีความสะดวกและคล่องตัว ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น หนองคาย แม่สาย สะเดา -มุ่งเน้นการขจัดปัญหาคอขวดที่เป็นอุปสรรคต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำตลอดโซ่อุปทาน เพื่อให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดในต่างประเทศรวดเร็วในราคาที่แข่งขันได้ โดยการคัดเลือกสินค้าประเภทที่มีปัญหาไม่ซับซ้อนสามารถแก้ไขข้อจำกัดได้ไม่ยาก ทำเป็นตัวอย่างนำร่อง
- - ผลักดันและสร้างระบบนิเวศน์ในการยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (Logistics Service Providers) เป็นผู้ให้บริการระดับภูมิภาค (การยกระดับให้ไทยเป็น Logistics Hub ของภูมิภาค นอกจากการมีโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์แล้ว ยังต้องอาศัยการที่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยสามารถขยายธุรกิจและบริการไปในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ซึ่งนอกจากจะสร้างขีดความสามารถให้กับสินค้าไทย ยังเป็นการนำเงินตราเข้าประเทศ และเป็นการยกระดับประเทศไทยเป็น Logistics Hub ของภูมิภาคอย่างแท้จริง)
7. ผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จาก FTA รวมทั้ง การปรับตัวเพื่อรองรับ และส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยในมาตรฐานความยั่งยืนที่เป็นกรอบกติกาใหม่ของโลก
- -สร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็ก และเตรียมความพร้อม ให้ดำเนินธุรกิจสอดรับกับกฎกติกาใหม่ ๆ ของโลก เช่น Carbon Credit /BCG / SDGs โดยการสร้างผู้ประกอบการไทยเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างสินค้าแบรนด์ไทยที่สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืนด้านต่าง ๆ
- -ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในประเทศ รัฐบาลจะจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อลงทุนพัฒนา Start-up ที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจใหม่
- -นำผลของการเจรจา FTA มาสื่อสารทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบที่ได้รับผลประโยชน์จาก FTA ในแต่ละฉบับ เพื่อนำไปสู่การผลักดันให้มีปริมาณการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น